คลินิกฟ้องคนไข้ เพราะรีวิวให้คลินิกเสียชื่อเสียง ได้หรือไม่

ผมคิดว่าไม่มีใครชอบโดนด่า และถ้าคุณหมอมีคลินิกก็คงไม่อยากให้ใครมารีวิวเพื่อให้คลินิกเสียหาย

ประเด็นคือ ถ้ามีคนไข้มารีวิว และข้อความนั้นทำให้คลินิกเสียชื่อเสียง คลินิกซึ่งส่งผลเสียมาก คลินิกอาจตัดสินใจใช้อำนาจศาลเพื่อความเป้นธรรมแก่ตนเองได้ หรือการฟ้องร้องนั่นเอง

ขออธิบายเป็นข้อ ๆ ไปดังนี้ครับ

1.คนไข้มีสถานะเป็นลูกค้า ลูกค้ามีสิทธิที่จะบอกเล่าประสบการณ์ แสดงความเห็น อันนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิไว้ชัดเจน เป็นเสรีภาพพื้นฐาน

2.แต่ถ้าความเห็นดังกล่าว เป็นข้อความที่ไม่เป็นความจริง หรือที่เรียกว่าเป็นเท็จ บิดเบือน มุ่งร้ายให้เกิดความเกลียดชังและลดทอนคุณค่าของคลินิก และคุณหมอ คนที่กระทำอาจมีความผิดฐานหมิ่นมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 ได้

3.และถ้าคลินิก หรือคุณหมอถูกหมิ่นประมาทจริง อาจจะเรียกค่าเสียหายที่มีต่อชื่อเสียงด้วยก็ได้ (อาจจะคำนวณยากหน่อย) จำนวนเงินที่สามารถเรียกได้มีตั้งแต่หลักหมื่นถึงล้าน ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์มีผลต่ออาชีพ เช่น ดารา นักการเมือง ฯลฯ จะเรียกค่าเสียหายได้สูง

4.ทั้งนี้ ถ้าเป็นความเห็นทั่วไปในฐานะลูกค้า ที่เป็นธรรมและสุจริต เช่น คลินิกนี้คิดค่าทำฟันแพง ฉีดโบทอกไปแล้วปวดมาก หมอถอนฟันฉันเจ็บมาก หมอทำไมมือสั่นเวลาลงเข็ม หมอพูดน้อย หมอมือหนัก ยังไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท

5.การเป็นผู้ให้บริการ หลายอย่างเราอาจต้องทำใจในยุคที่แสดงความเห็นได้ง่าย แต่บางอย่างก็อาจจะต้องลุกขึ้นมาปกป้องถ้าถูกละเมิด

อ.ทิว

คำแนะนำที่ผมอยากมอบแก่คุณหมอ

.

จากที่ได้คุยกับคุณหมอหลายๆท่านที่พบปัญหาที่เป็น Pattern จึงอยากมาโพสให้คำแนะนำที่อาจเป็นประโยชน์แก่คุณหมอดังนี้ครับ

.

1.งานที่มีมูลค่าสูง เช่น รากฟันเทียม จัดฟันอินวิซาลาย เป็นกรณีที่มีปัญหาและเกิดคดีความบ่อยสุด

.

2.งานรักษาที่กินเวลายาว มีโอกาสมีปัญหามากกว่างานที่ทำแล้วเสร็จเร็ว

.

3.ถ้าสิ่งที่คุณหมอบอกกับคนไข้ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ เช่น ความเสี่ยง ผลลัพธ์ที่อาจไม่ได้ 100% ความคาดหวัง และรายละเอียดของค่าใช้จ่ายที่อาจมีเพิ่มจากที่ประเมิน

ควรมีการจดบันทึกอย่างนอยใน OPD card เพราะการพูดปากเปล่าจะไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้

.

4.ถ้าดีสุด คุณหมอควรจะมี informed consent เพื่อป้องกันตัวเองและเพื่อเป็นหลักฐาน

.

5.ถ้าคลินิกไม่มี informed consent ให้ คุณหมอสามารถร่างเองและมีของตนเองไว้ใช้ส่วนตัว มีดีกว่าไม่มีเสมอ

.

6.ประกันวิชาชีพ ไม่สามารถขอซื้อหลังจากเกิดเหตุได้ ต้องซื้อก่อนเท่านั้น

.

7.ถ้ากรณีคุณหมอมีประกันวิชาชีพ ในกรมธรรม์ระบุข้อนึงที่สำคัญ คือ ห้ามไปรับผิด ตกลง หรือ สัญญา ว่าจะจ่ายเงินแก่คนไข้ เพราะอันนี้เป็นหน้าที่ของทางประกันจะดำเนินการ

.

8.คุณหมอไม่ควรแจ้งให้คนไข้ทราบว่ามีประกันวิชาชีพ เพราะคนไข้อาจมีแรงจูงใจที่จะฟ้องบ่อยขึ้น หรือ ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่สูงขึ้น

.

อ.ทิว

อาจจะน้อยราย แต่บางคนก็เคยได้รับมาแล้ว คือเอกสารชนิดหนึ่ง “หนังสือทวงถาม” หรือ “legal notice”

สิ่งนี้เป็นจดหมายที่ออกโดยทนาย หรือ อาจไม่ใช่ทนายก็ได้ โดยเขียนใจความส่วนใหญ่จะระบุมาว่าขอให้คุณหมอชดใช้ค่าเสียหาย XXX,XXX บาท มิเช่นนั้นจะดำเนินคดี

ที่ยกเรื่องเล่ามานี้เพราะสองเดือนที่ผ่านมา มีเคสคุณหมอหนึ่งท่านมาปรึกษาผมกรณีนี้เพราะเพิ่งได้รับ notice อีกเคสติดต่อผ่านมาจากเพจ ธุรกิจทันตกรรมของหมอมด ผมก็ได้ให้คำแนะนำไปดังนี้

.

1.สมมติว่าเราได้รับจดหมายลักษณะนี้ แรกสุดเลยดูว่าเขาระบุถึงใครบ้าง เฉพาะคุณหมอ parttime หรือ เจ้าของคลินิกด้วย

.

2.ส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็นการขอให้เราชดใช้ค่าเสียหาย (เราผิดไม่ผิดอีกประเด็น) และแน่นอนล้วนเป็นเพราะคนไข้ไม่พึงพอใจในการรักษา

.

2.1 อีกกรณีคือ คนไข้อาจจะไม่พึงพอใจ แต่ไม่ได้จะเอาเรื่องเอาราวใด ๆ กับหมอหรอก แต่มีบุคคลที่สามยุยง หรือ สั่งมา เช่น พ่อแม่ของคนไข้ ญาติ หรือ ผู้ที่ออกค่ารักษาให้ (หลายครั้งคนไข้ไม่ใช่คนที่จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล)

.

3.ลองอ่านละเอียด ๆ ใน”หนังสือทวงถาม” ว่าสิ่งที่คนไข้ระบุมา ว่าจริง เท็จ หรือ อะไรยังไง บางครั้งอาจเป็นไปได้ที่คนไข้จะเข้าใจผิดและเรากับคนไข้อาจสื่อสารขาดตกไป ทำให้สะสมความไม่เข้าใจไว้จนเกิดการเรียกร้องค่าเสียหาย

.

3.1 บางทีคนไข้แค่ต้องการค่ารักษาคืนเท่านั้น อันนี้ตัดสินใจไม่ยาก ถ้าไม่ได้เกินเลยอะไรคุณหมอก็อาจจะตัดสินเองได้ แต่ในกรณีที่คนไข้ระบุค่าชดเชยเกินกว่านั้น บางทีเกินเลยไปมาก เช่น ค่าเสียโอกาส ค่าเสียเวลา รวมแล้วหลายแสนหรือเป็นล้าน เราก็คงไม่ไหว

.

4.ส่วนใหญ่ ถ้าถึงขั้นที่คนไข้ตัดสินใจยื่น notice ถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอและคนไข้คงจะไม่เหลือ หรือ เหลือน้อยมากๆ (เพราะถ้าความสัมพันธ์ยังพอมีอยู่ น่าจะยังหันหน้าคุยกันตรงๆได้และไม่มีการยื่น notice)

ถึงจุดนี้แล้วคงยากที่จะยกหูโทรศัพท์ไปทำความเข้าใจ ร่วมหาทางแก้ไข แนะนำว่าใช้คนกลางในการพูดคุย ซึ่งถ้าเป็นข้อพิพาทระหว่างมือปืนกับคนไข้ ผมคิดว่าคลินิกน่าจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะมารับบทบาทนี้ เช่น เจ้าของคลินิก (ผมเองก็ทำบทบาทนี้ประจำ)

.

5.ในกรณีที่คุณหมอมีประกันวิชาชีพ ก็มีตัวช่วย ก็สามารถโทรไปสายด่วนฝ่ายชดเชยสินไหม คล้ายกันว่าตอนนี้เรารถชนแล้วโทรเรียกประกัน ก็จะมีคนของประกันเข้ามาสอบถาม เก็บรายละเอียด และดำเนินการทุกอย่างจนได้ใบ claim ประกันเพื่อซ่อมรถ (สำหรับแพทย์บางสาขา หรือบางการรักษา ประกันอาจจะไม่ครอบคลุม)

.

5.1 ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด ทางประกันก็จะดำเนินการชดเชยให้คนไข้ไปตามการประเมินของเขา หรือถ้าไม่ชดเชยก็จะคุ้มครองโดยการออกค่าใช้จ่ายในการต้องทำคดีทั้งหมด

.

5.2 แต่ถ้าคุณหมอไม่มีความผิด หรือระบุไม่ได้ว่าผิด หรือ ไม่ผิด อันนี้แล้วแต่กระบวนการของประกันของเขาที่จะพิจารณา ซึ่งถ้าประกันดูแล้วยังไงหมอก็ไม่ผิดและคนไข้ยืนกรานจะฟ้อง ประกันก็ช่วยหมอทุก ๆ อย่างในขั้นตอนของการขึ้นศาลรวมถึงค่าใช้จ่าย

6.กรณีไม่มีประกัน อันนี้คุณหมอจะต้องลองคุยกับคลินิกดูว่าจะดำเนินการกันยังไง จะชดเชยไหม จะไกล่เกลี่ยไหม หรือ ไปพิสูจน์ความจริงในศาลและจ้างทนายเพื่อต่อสู้ในศาล

อ.ทิว